วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เกษียรสมุทรทะเลวิเศษ








ครั้งหนึ่งในอันตกาล อสูรทั้งหลาย อาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มนุษย์โลกนั้นว่างเว้นจากการบำเพ็ญตบะมานานหลายอสงไขย จึงไม่มีมนุษย์ไปเกิดบนดาวดึงส์เลย ต่อมามีมนุษย์โลกที่ทำทานมาก มากจนเทียบได้ยิ่งใหญ่กว่าบุญของพวกอสูร ซึ่งมิได้เคยทำทาน แต่อาศัยการบำเพ็ญตบะบารมีอย่างเดียว เมื่อตายลง นนุษย์ผู้นั้นจึงบังเกิดบนสรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นเอง เกิดเป็นเทวดาสายพันธุ์ใหม่ผู้มีรูปงาม ซึ่งไม่เคยมีในดาวดึงส์มาก่อนเลย 

ครั้นเมื่อเทวดารูปงามเกิดขึ้น 1 องค์ ก็คอยช่อยเหลือปูทางให้ชาวโลกทำความดี และมีจิตที่ระรึกถึงเทวดา อยู่เสมอ เมื่อตายไปจิตหลุดออกจากร่าง จึงพากันไปบังเกิดเป็นเทวดาจำนวนมาก, อนึ่ง 1 วันบนดาวดึงส์นั้น ยาวนานถึง 1 แสน ปีบนโลกมนุษย์ ดังนั้นผ่านไปไม่กี่วันบนดาวดึงส์ พวกเทวดาก็พากันผุดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ดในหน้าฝน

ในที่สุดบนดาวดึงส์นั้นจึงประกอบด้วยเทวดาไฮโซรุ่นใหม่ กับเทวดาบ้านนอกหน้าเคร่งขรึมรุ่นเก่า (อสูรนั่นเอง) เกิดการแบ่งชนชั้น ในหมู่เทวดาขึ้นมา อสูรนั้นถูกกดขี่กลายเป็นเทวดาผู้ใช้แรงงาน ให้ล้างเท้าบ้าง งานรับใช้บ้าง หรือการใช้แรงงานต่างๆ ส่วนงานในสำนักงานเทวดานั้น เป็นของเหล่าเทวดาและนางฟ้าหน้าแฉล้ม ไปเกือบทั้งหมด



ป่าหิมพานต์ ที่อยู่แห่งสัตว์เทวะ



ในสมัยเด็ก เรามักจะได้ยินบ่อยๆ ในเรื่องของ " กินรี " พญาครุฑ ตลอดจนป่าหิมพานต์ และเชื่อว่าทุกคนจะต้องหลงมนต์ชื่นชอบ อยากค้นหา ดินแดนมหัศจรรย์นี้ เหมือนกับฉัน ...ฉัน คิดเสมอว่า เรื่องนี้ " ต้องเป็นเรื่องจริง " ไม่ใช่ แค่เรื่องในตำนานอย่างที่ผู้ใหญ่บอกอย่างแน่นอน แต่อะไรล่ะที่จะนำมาใช้ประกอบเป็นเหตุผล ในข้อสันนิษฐาน ของเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง

จะตะโกนป่าวร้องบอกใครก็ไม่ได้ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเรา ” เพ้อเจ้อ ” แต่ถ้าใครจะคิดอย่างนั้น ก็คงจะไม่ผิดนัก จะว่าไป..ก็ไม่ใช่เพราะความเพ้อเจ้อนี้หรอกเหรอที่ทำให้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับ ” ป่าหิมพานต์  มากมายขนาดนี้ ที่สำคัญ วรรณกรรมต่างๆในอดีต ก็ล้วนแต่มีเรื่องราวของป่าหิมพานต์มาเกี่ยวโยงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น พระสุทน มโนรา ตลอดจน ละครจักรๆ วงศ์ ที่กำลังฉายผ่านทางจอแก้ว แม้จะพิสูจน์เป็นตุเป็นตะไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง..มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะฉะนั้น..รู้ไว้ใช่ว่า เผื่อวันหน้า มีโอกาสข้ามผ่านมิติไปถึงแดนทิพย์นี้จริงๆก็เป็นได้

ป่าหิมพานต์ หรือ หิมวันต์ เป็นป่าในวรรณคดีและความเชื่อในเรื่องไตรภูมิตามคติศาสนาพุทธและฮินดู มีความเชื่อว่า ป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเขาหิมพานต์หรือหิมาลายา (หิมาลัย) คำว่า หิมาลายา” เป็นมีรากศัพท์จากภาษาสันสกฤตแปลว่าสถานที่ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ เขาหิมพานต์ประดิษฐานอยู่ในชมพูทวีปมีเนื้อที่ประมาณ 3,000 โยชน์ (โยชน์ เท่ากับ 10 ไมล์ หรือ 16 กิโลเมตร) วัดโดยรอบได้ 9,000 โยชน์ ประดับด้วยยอด 84,000 ยอด มีสระใหญ่ สระคือ
1.               สระอโนดาต
2.               สระกัณณมุณฑะ
3.               สระรถการะ
4.               สระฉัททันตะ
5.               สระกุณาละ
6.               สระมัณฑากิณี
7.               สระสีหัปปาตะ
บรรดาสระใหญ่ทั้ง นั้น สระอโนดาตแวดล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง คือ 1.เขาไกรลาศ 2.เขาจิตตะ 3.เขาคันธมาศ 4.เขาสุทัศนะ 5.เขากาฬกูฏ ที่จัดเป็นยอดเขาหิมพานต์ ยอดเขาทุกยอดมีส่วนสูงและสัณฐาน 200 โยชน์ กว้างและยาวได้ 50 โยชน์
ในป่าหิมพานต์นี้เต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด ซึ่งล้วนแปลกประหลาดต่างจากสัตว์ที่มนุษย์ทั่วไปรู้จัก เป็นสัตว์หลายอย่างผสมกันแล้วตั้งชื่อขึ้นใหม่ สัตว์เหล่านี้เกิดจากจินตนาการของจิตรกรไทยโบราณที่ได้สรรค์สร้างภาพจากเอกสารเก่าต่าง ๆ บรรดาสัตว์ทั้งหมดที่อ้างถึงนี้เป็นที่รู้จักในนามของสัตว์หิมพานต์




โขน สมบัติของแผ่นดิน

โขน 

ความหมายของคำว่าโขน

โขน คือ นาฏกรรมขั้นสูงอย่างหนึ่งของไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณและได้วิวัฒนการมาจนถึงปัจจุบัน ความหายของคำว่าโขนมีไว้ดังนี้

- การเล่นอย่างหนึ่งคล้ายละคร แต่สวมหัวจำลองต่างๆที่เรียกว่าหัวโขนอย่างหนึ่ง

เรียกไม้ที่ต่อเสริมหัวเรือให้งอนเชิดขึ้นไปเรียกว่า โขนเรืออย่างหนึ่ง
เรือชนิดหนึ่งที่มีโขนเรียกว่า เรือโขนอย่างหนึ่ง

จากความหมายข้างต้นจะเห็นได้ว่า โขนนั้นมีความหมายหลายอย่างแต่ความหมายที่สอดคล้องคำว่าโขนเป็นนาฏกรรมขั้นสูงอย่างหนึ่งของไทยก็คือการละเล่นอย่างหนึ่งคล้ายละครแต่สวมหัวจำลองต่างๆ




นาคราช ความลับแห่งสายน้ำ





ชาวฮินดูถือว่า นาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ และจะมีคำเสี่ยงทายถึงปริมาณของน้ำและฝนที่จะตกในแต่ละปีเพื่อการเกษตร เรียกว่า "นาคให้น้ำ"
จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน 7 ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ 1 ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ 7 ตัว" จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคเกี่ยงกันให้น้ำ แต่ละตัวจึงกลืนน้ำไว้ในท้องไม่ยอมพ่นน้ำลงมา ซึ่งคำทำนายเรื่องนาคให้น้ำนี้ จะปรากฏเห็นได้ชัดที่สุด คือ ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญของไทย

ที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่ในแม่น้ำ หนอง คลอง บึงต่างๆ ในอากาศ จนไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พวกพญานาคอยู่ในการปกครองของท้าววิรูปักขะผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ


ครุฑ สัตว์เทวะผู้ทรงพลัง


ครุฑ หรือ พญาครุฑ
(Garuda)








ป็นสัตว์กึ่งเทพ ในตำนานปรัมปราของอินเดีย ปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหากาพย์มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับพญานาค และทะเลาะเป็นศัตรูกัน นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปุราณะ ที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าของพญาครุฑ


---ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์เชื่อว่าปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งนกอินทรี ที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ"

---ครุฑ เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ น่าสรรเสริญ

---ด้วยฤทธานุภาพของพญาครุฑนี้เอง จึงได้มีการสร้างรูป ครุฑพ่าห์ (หรือ พระครุฑพ่าห์) หมายถึง ครุฑซึ่งเป็นพาหนะ เป็นรูปครุฑกางปีก และใช้เป็นสัญลักษณ์หมายถึงพระราชบัลลังก์ และตราประจำแผ่นดินของไทย สืบต่อกันมาแต่สมัยอยุธยา ซึ่งพบโดยทั่วไป โดยเฉพาะตราประทับบนหัวจดหมายราชการ

---เรียกว่า ตราครุฑ ด้วยความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์คือ สมมุติเทพ เป็นพระนารายณ์อวตาร ผู้ทรงมีครุฑเป็นพระราชพาหนะนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ พระราชพาหนะของพระมหากษัตริย์จึงประดับธงมหาราช ซึ่งเป็นธงรูปครุฑ ขณะเดียวกัน ยังมีเรือพระราชพิธีหลายลำ ที่สลักโขนเรือเป็นรูปครุฑ เช่น เรือพระที่นั่งครุฑเหิรเห็จ ครุฑเตร็จไตรจักร และเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9