ครุฑ หรือ พญาครุฑ
(Garuda)
เป็นสัตว์กึ่งเทพ
ในตำนานปรัมปราของอินเดีย ปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหากาพย์มหาภารตะ
เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับพญานาค และทะเลาะเป็นศัตรูกัน
นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ปุราณะ ที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าของพญาครุฑ
---ตามคติไทยโบราณ
เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์เชื่อว่าปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี
มีรูปเป็นครึ่งนกอินทรี ที่ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้
แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์
ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ"
---ครุฑ เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่
มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง สามารถบินได้รวดเร็ว
ทั้งยังมีสติปัญญาเฉียบแหลม เฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ
น่าสรรเสริญ
---ด้วยฤทธานุภาพของพญาครุฑนี้เอง
จึงได้มีการสร้างรูป ครุฑพ่าห์ (หรือ
พระครุฑพ่าห์) หมายถึง ครุฑซึ่งเป็นพาหนะ
เป็นรูปครุฑกางปีก และใช้เป็นสัญลักษณ์หมายถึงพระราชบัลลังก์
และตราประจำแผ่นดินของไทย สืบต่อกันมาแต่สมัยอยุธยา ซึ่งพบโดยทั่วไป
โดยเฉพาะตราประทับบนหัวจดหมายราชการ
---เรียกว่า ตราครุฑ
ด้วยความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์คือ สมมุติเทพ เป็นพระนารายณ์อวตาร
ผู้ทรงมีครุฑเป็นพระราชพาหนะนั่นเอง ด้วยเหตุนี้
พระราชพาหนะของพระมหากษัตริย์จึงประดับธงมหาราช ซึ่งเป็นธงรูปครุฑ ขณะเดียวกัน
ยังมีเรือพระราชพิธีหลายลำ ที่สลักโขนเรือเป็นรูปครุฑ เช่น
เรือพระที่นั่งครุฑเหิรเห็จ ครุฑเตร็จไตรจักร และเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่
9
*ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติของ..พญาครุฑ
---ครุฑคือสัตว์หิมพานต์อย่างหนึ่ง
แต่ไม่ใช่สัตว์สามัญธรรมดา เพราะพญาครุฑเป็นสัตว์กึ่งเทพ เรียกว่า
"เทพเดรัชฉาน" ซึ่งมีอำนาจเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้า
ครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์อย่างหนึ่ง
ในเมืองไทยเรานับถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ
เป็นองค์นารายณ์อวตารจึงมีการใช้ธงรูปครุฑ และมีครุฑเป็นสัญลักษณ์ประจำแผ่นดิน
สามารถพบเห็นรูปครุฑได้จากเอกสารต่าง ๆ
ของทางราชการและนับว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นเอกสารศักดิ์สิทธิ์
หากราชการผู้ที่ทำหน้าที่ผู้ใดมีความสุจริตจงรักภักดีต่อแผ่นดิน
องค์พระมหากษัตริย์ และหน้าที่ของตน องค์พญาครุฑก็จะส่งพลังปกป้องให้มีความสุข
ความเจริญในหน้าที่
---ครุฑ จัดเป็นเทวดาประเภทหนึ่ง
อยู่ในการปกครองของท้าววิรุฬหก ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ด้านทิศใต้
เหตุที่มาเกิดเป็นครุฑเพราะทำบุญเจือด้วยโมหะ
*ครุฑมีกำเนิดทั้ง 4 แบบ
---คือ โอปปาติกะ ชลาพุชะ อัณฑชะ
และสังเสทชะ มีที่อยู่ตั้งแต่พื้นมนุษย์ ป่าหิมพานต์ ป่าไม้งิ้ว
จนถึงชั้นจาตุมหาราชิกา (ป่าไม้งิ้วอยู่ชั้นที่สองรอบภูเขาสิเนรุ
ส่วนชั้นที่หนึ่งอยู่ในมหาสมุทรสีทันดร เป็นที่อยู่ของพญานาค)
---ครุฑชั้นสูง เกิดแบบโอปปาติกะ
มีขนสีทอง มีเครื่องประดับแบบเทพบุตรเทพธิดา มีชีวิตอยู่เหมือนเทวดา แปลงกายได้
จะเสวยสุทธาโภชน์ คืออาหารทิพย์แบบเทวดา
---ครุฑบางประเภทผูกเวรกับนาค
ก็จะกินนาคเป็นอาหาร บางประเภทก็กินผลไม้หรือเนื้อสัตว์
ครุฑบางประเภทผูกเวรกับสัตว์นรกในยมโลก ก็จะสมัครใจไปเป็นเจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์สัตว์นรก
*เทวดาทั้ง 3 ประเภท
---เป็นเทวดาชั้นล่าง
มีวิมานอยู่บนพื้นดินเดียวกันกับที่มนุษย์ อาศัยอยู่ เรียกชื่อตามที่อยู่
แต่ถือว่าเป็นชาวสรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้วยนอก
จากนี้ยังมีเกร็ดความเชื่อว่าหากที่ใดมีอาถรรพ์แรงท่านให้นำเอาตราครุฑไปติด
จะทำให้อาถรรพ์นั้นเสื่อมสลาไปในที่สุด
ตราครุฑล้างอาถรรพ์ได้จึงเป็นที่เชื่อถือกันมาตลอดและได้รับความเคารพบูชา
ว่าเป็นของสูง เปรียบเสมือนหนึ่งตัวแทนแห่งองค์พระประมุข
ผู้ใดมีสัญลักษณ์ครุฑหรือรูปครุฑบูชาไว้ย่อมได้อานิสงสืมาก
อาทิมีความเจริญแก่ตัวเองและครอบครัวเป็นต้น ดังนี้แล้วครุฑจึงเป็นของสูงที่เราควรรู้ควรบูชาอย่างหนึ่ง
---คนโบราณมีความเชื่อสืบกันมาว่า
"ครุฑ" เป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองมหาอำนาจ
อย่างเด็กผู้ใดที่เกิดมาแล้วมีลักษณะปากคล้ายพญาครุฑท่านว่าคนผู้นั้นจะเป็น
ผู้มีบุญญาธิการมาเกิด ภายภาคหน้าจะได้เป็นใหญ่เป็นโต
---สมเด็จเจ้าแตงโม
พระสังฆราชพระองค์หนึ่งท่านก็มีลักษณะปากดังครุฑปราก ฎว่าเป็นผู้มีปัญญาดี
และได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชในที่สุด เรื่องครุฑนี้คนโบราณจึงเชื่อถือกันมาก
แม้เครื่องรางที่เกี่ยวกับครุฑก็เป็นเครื่องรางที่มีความหมายมีอานุภาพโดด
เด่นหลายประการ
*ตำนานพญาครุฑ
---ใน
ตำนานเมืองฟ้าป่าหิมพานต์นั้นมีเรื่องราวของสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลาย
ชนิดเช่น ราชสีห์ คชสีห์ อันมีลำตัวเป็นสิงห์แต่มีศีรษะเป็นช้าง กินรี
กินนรและสัตว์แปลก ๆ อีกมากมาย
ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้นมีสองอย่างที่นับว่าเป็นเทพเดรัจฉานมีฤทธิ์มากคือ
หนึ่งเป็นพญานาคราชจ้าวแห่งบาดาล และอีกหนึ่งคือพญาครุฑจ้าวแห่งเวหา
---นาคและครุฑต่างเป็นสัตว์ที่คู่กันตามตำนาน
มีเรื่องราวเล่ากันว่าสัตว์กายสิทธิ์ทั้งสองนี้มีบิดาเดี่ยวกันคือมหาฤาษีกัสยปะเทพบิดรแต่คนละแม่โดยพญาครุฑนั้นมีมารดาเป็นภรรยาหลวง
ส่วนนาคนั้นมีแม่เป็นภรรยาคนรอง
นางทั้งสองนี้ไม่ถูกกันมีเรื่องกันตลอดจนในที่สุดความผิดใจกันนี้ลามไปถึงลูกของตนด้วย
จึงเป็นเหตุให้นาคและครุฑไม่ถูกกันในเวลาต่อมา
---พญานาคนั้นมีวิมานอันเป็นทิพย์อยู่ในบาดาล
ส่วนครุฑก็มีวิมานทิพย์อยู่ที่เชิงเขาไกรลาส
กล่าวว่าองค์พญาครุฑนั้นมีนามว่าท้าวเวนไตย เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวสุบรรณ
มีกายเป็นรัศมีสีทองมีเดชอำนาจมากที่สุดในหมู่ครุฑทั้งหลายอาศัยเกาะอยู่ตาม
ต้นงิ้ว อาศัยผลงิ้วและน้ำดอกไม้จากต้นงิ้วเป็นอาหารทิพย์
ลูกพญาครุฑจะโตขึ้นนับเวลาอายุเป็นข้างขึ้นข้างแรมตามจันทรคติ
เติบโตด้วยบุญกุศลที่เคยทำมา หากลูกครุฑตนใดที่มีบุญญาธิการมามาก
อำนาจบุญจะบันดาลให้เกิดผลงิ้วทิพย์และน้ำหวานจากดอกไม้มาบำเรอลูกครุฑตน นั้น ๆ
และลูกครุฑตนดังกล่าวจะจำเริญวัยได้อย่างรวดเร็ว
---ครุฑ เป็นสัตว์กึ่งโอปปาติกะ
หรือกึ่งพวกกายทิพย์คล้ายชาวลับแลและพวกพญานาคอยู่อีกมิติหนึ่งจากโลกของเรา
ผู้ที่จะสามารถพบเห็นครุฑได้ต้องเคยมีบุญร่วมกับพวกเขามาจึงสามารถรับรู้ถึง
กันและกันได้ เหมือนกับผู้ที่สามารถติดต่อกับพญานาคได้ก็เช่นกันล้วนต้องเป็นผู้ที่มี
วาสนาต่อกันมาตั้งแต่อดีตทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสาธารณะที่จะรู้กันได้ทั่วไป
เช่นเรื่องสามัญ
---เรื่องของครุฑเป็นเรื่องราวที่มีความอัศจรรย์โลด
โผนยิ่งกว่าเรื่องราวของพญานาคเสียด้วยซ้ำไป
แต่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้กันเพราะไม่ได้ศึกษาและอาจไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก
ความเป็นจริงแล้วเรื่องครุฑเป็นเรื่องที่น่าศึกษามาก
เพราะทางฮินดูเขานับถือครุฑว่าเป็นเทพเจ้าสำคัญพระองค์หนึ่ง แม้ในทางไทยเราเอง
ทางไสยศาสตร์ก็ให้ความนับถือเกี่ยวกับครุฑนี้มาก
ดูอย่างตราแผ่นดินเองก็มีรูปลักษณะเป็นครุฑ จึงน่าสนใจว่า “ครุฑ”นั้นคงมีอานุภาพบางอย่างและน่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในอีกมิติหนึ่งเช่น
เดียวกันกับพญานาค ถ้าท่านเชื่อว่าพญานาคมีจริง พญาครุฑก็ย่อมมีจริงเช่นกัน
*พลังอำนาจพญาครุฑที่เทียบเท่า
พระผู้เป็นเจ้า
---อำนาจ
ของพญาครุฑนั้นท่านว่าลึกลับมากนัก
ในตำนานของฮินดูกล่าวว่าตั้งแต่แรกเกิดมานั้นพญาครุฑก็มีรัศมีกายที่สว่าง
ไสวเป็นที่อัศจรรย์ ส่อให้รู้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ มีอานุภาพเป็นอเนกอนันต์
มีฤทธิ์วิชาผาดโผนพิสดารทั้งนี้มีเรื่องกล่าวไว้อีกว่าครั้งหนึ่งพญาครุฑเคย
ลองฤทธิ์กับองค์พระนารายณ์มหาเทพหนึ่งในสามของทางศาสนาพราหมณ์
การรบกันนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั้งสามโลกธาตุ พญาครุฑสามารถต่อสู้ด้วยความสามารถ
รบกันไปเท่าใดก็หาแพ้ชนะกันไม่ จนในที่สุดพระนารายณ์และพญาครุฑจึงตกลงกัน
ว่าขอให้เสมอกันในการรบระหว่างเราและท่าน
พระนารายณ์อนุญาตให้พญาครุฑสามารถอยู่เหนือเศียรตนได้
และพญาครุฑก็นอบน้อมโดยการยินยอมให้พระนารายณ์สามารถนำตนเป็นพาหนะไปยังสถาน
ที่ต่าง ๆ ได้เช่นกัน
---จึงถือกันในหมู่ครูบา
อาจารย์กันต่โบราณว่า “พญาครุฑ”เป็นเทพเดรัจฉานที่มีอานุภาพอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าอย่างพระ
นารายณ์ อานุภาพของครุฑจึงเป็นที่อัศจรรย์ของทั่วโลกธาตุ
นอกจากนี้ยังมีประวัติอีกว่าพระอินทร์เองก็
เคยลองฤทธิ์กับพญาครุฑใช้วัชระฟาดพญาครุฑ
แต่องค์พญาครุฑเป็นกายสิทธิ์หาได้เป็นอันตรายแต่อย่างใดไม่ พระอินทร์พยายามอยู่หลายทางก็ไม่สามารถทำอันตรายแก่องค์ครุฑได้
จนพระอินทร์มีความเคารพในอานุภาพของพญาครุฑว่ามีฤทธิ์เดชเทียบเท่าพระผู้
เป็นเจ้าจริงในที่สุดพญาครุฑจึงได้สลัดขนตนเองออกมาหนึ่งเส้นให้แก่พระ
อินทร์เพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์ด้วยเช่นกัน
---จะ เห็นได้ว่าตามตำนานที่กล่าวมา “พญาครุฑ” เป็นเทพเดรัจฉานที่มีฤทธิ์ที่ไม่ธรรมดา
ๆ เลยมีอานภาพมาก
ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์ที่รู้จักศาสตร์ของครุฑเป็นอย่างดีจึงนำเอา
สัญลักษณ์เกี่ยวกับครุฑ รูปครุฑต่าง ๆ
มาทำสมาธิบูชาเพื่อให้เกิดอิทธิพลังงานอันลี้ลับ
ทั้งนี้เพื่อการปกป้องคุ้มครองบ้าง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองบ้าง
ดังที่เราจะได้เล่าให้ท่านทราบต่อไป
*สัญลักษณ์ครุฑ สัญลักษณ์แห่งแผ่นดิน
---โดย
สรุปจากตำนานแล้วครุฑคือสัตว์หิมพานต์อย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่สัตว์สามัญธรรมดา
เพราะพยาครุฑเป็นสัตว์กึ่งเทพ เรียกว่า “เทพเดรัจฉาน” ซึ่งมีอำนาจเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพาหนะของพระนารายณ์อย่างหนึ่งใน
เมืองไทยเรานับถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ เป็นองค์นารายณ์อวตารจึงมีการใช้ธงรูปครุฑ
และมีครุฑเป็นสัญลักษณ์ประจำแผ่นดิน สามารถพบเห็นรูปครุฑได้จากเอกสารต่าง ๆ
ของทางราชการ และนับว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นเอกสารศักดิ์สิทธิ์
หากราชการผู้ที่ทำหน้าที่ผู้ใดมีความสุจริตจงรักภักดีต่อแผ่นดิน
องค์พระมหากษัตริย์ และหน้าที่ของตน องค์พญาครุฑก็จะส่งพลังปกป้องให้มีความสุข
ความเจริญในหน้าที่
---นอก
จากนี้ยังมีเกร็ดความเชื่อว่าหากที่ใดมีอาถรรพ์แรงท่านให้นำเอาตราครุฑไปติด จะทำให้อาถรรพ์นั้นเสื่อมสลายไปในที่สุด
ตราครุฑล้างอาถรรพ์ได้จึงเป็นที่เชื่อถือกันมาตลอดและได้รับความเคารพบูชา
ว่าเป็นของสูง เสมือนหนึ่งตัวแทนแห่งองค์พระประมุข ผู้ใดมีสัญลักษณ์ครุฑ
รูปครุฑบูชาไว้ย่อมได้อานิสงส์มาก อาทิ มีความเจริญแก่ตัวเองและครอบครัวเป็นต้น
ดังนี้แล้วครุฑจึงเป็นของสูงที่เราควรรู้ควรบูชาอย่างหนึ่ง
---คน โบราณมีความเชื่อสืบกันมาว่า “ครุฑ” นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง
มหาอำนาจ
อย่างเด็กผู้ใดที่เกิดมาแล้วมีลักษณะปากคล้ายพญาครุฑท่านว่าคนผู้นั้นจะเป็น
ผู้มีบุญญาธิการมาเกิด ภายภาคหน้าจะได้เป็นใหญ่เป็นโต สมเด็จเจ้าแตงโม
พระสังฆราชพระองค์หนึ่งท่านก็มีลักษณะปากดังครุฑปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญาดี และได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชในที่สุด
เรื่องครุฑนี้คนโบราณจึงเชื่อถือกันมาก
แม้เครื่องรางที่เกี่ยวกับครุฑก็เป็นเครื่องรางที่มีความหมายมีอานุภาพโดด
เด่นหลายประการดงจะได้กล่าวต่อไป
*อำนาจพญาครุฑ
---สิทธิ
อำนาจพญาครุฑสัตว์กายสิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าให้ตายได้มีอายุยืนเสมือน
ว่าเป็นอมตะนั้น นับเป็นเรื่องลี้ลับที่ผู้รู้พยายามค้นคว้า
และเสาะหาที่มาแห่งพลังอำนาจดังกล่าว จนเกิดการสร้างเครื่องรางต่าง ๆ ขึ้น
อำนาจพญาครุฑสามารถจำแนกได้ถึง 8 ประการ
โดยนับเอาอำนาจหลัก ๆ ได้ดังนี้คือ
---1.เป็นมหาอำนาจอันยิ่งใหญ่ เป็นสิทธิอำนาจอันเฉียบขาด
---2.สามารถลบล้างอาถรรพ์และคุณไสย์ทั้งปวง
ภูติผีปิศาจกลัวไม่กล้าเข้าใกล้
---3.เป็นสื่อนำความเจริญรุ่งเรือง
ยศถาบรรดาศักดิ์มาสู่ชีวิตหน้าที่การงาน
---4.ปกป้องคุ้มครอง
ป้องกันภัยเป็นคงกระพัน
---5.เป็นเมตตามหานิยม
---6.นำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้
---7.ทำมาค้าขายดีเป็นสื่อนำโชคลาภนานาประการ
---8.สัตว์ร้าย เขี้ยวงาสารพัด
งูเงี้ยวเขี้ยวขอ อสรพิษไม่กล้ากล้ำกรายเข้าใกล้
เพราะเกรงตบะบารมีขององค์พญาครุฑเป็นที่สุด
---อำนาจพญาครุฑยังมีมากกว่านี้อีกมาก
แล้วแต่ท่านใดจะรู้จักใช้
ในตำราทางไสยเวทพุทธาคมมีทั้งการใช้ยันต์ครุฑให้ผลดีในทางคงกระพันชาตรี
มีนะพญาครุฑใช้ลงตบเข้าหน้าผากเป็นคงกระพันชาตรีกันเขี้ยวงาอสรพิษได้
ทั้งนะพญาครุฑนี้เมื่อประสิทธิ์ลงไปยังตัวคนผู้ใดแล้วยังสามารถทรหดอดทน
เดินไกลไม่เหนื่อย เป็นวิชาตัวเบาชั้นยอด และเป็นเมตตามหานิยมชั้นสูงอีกด้วย
ยังมีคาถาพญาครุฑซึ่งเมื่อกล่าวพระคาถานี้งูพิษรวมไปจนถึงตะขาบแมงป่องและ
สัตว์ร้ายต่าง ๆ ทั้งหลายจะหลบหนีไปสิ้นโดยพระคาถาพญาครุฑท่านว่าดังนี้
“โอมพญาครุฑจะเห็นผล หลีกไปให้พ้น
พญาหนจะเดินทาง เคาะงอ เคาะงอ”
---ก่อน ว่าพระคาถานี้ให้นมัสการพระรัตนตรัยเสียก่อนด้วยนะโม
๓ จบและท่องพระคาถานี้ก่อนออกเดินทางตั้งสติส่งจิตไปถึงพญาครุฑจะปลอดภัยทุก ประการ
*สักการะพญาครุฑให้ถูกวิธี
---การ
บูชาพญาครุฑประกอบกับพยาปักษาชาติอันมีฤทธิ์ทั้งหลายนั้น ท่านให้สักการะคุณพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ จากนั้นให้ตั้งจิตระลึกถึงพญาครุฑท่าน
ด้วยการทำสมาธิภาวนาเป็นสื่อถึงองค์พญาครุฑว่า “ครุฑโธ” จนจิตสงบหรือระลึกชื่อ พญาวายุภักษ์
หรือ ท่องคำว่า “การะวิโก” อันเป็นคาถาหัวใจพญาการเวกก็ว่าได้
จากนั้นเมื่อเห็นว่าจิตสงบลงบังเกิดเสียงนกร้องระงม จากบริเวณที่มีนกอยู่ใกล้ ๆ
จนบางครั้งอาจมีนกมาบินเวียนวนอยู่เป็นทักษิณาวัตรอย่างน่าอัศจรรย์
หรือมีฝูงนกมาทานอาหารที่เราเซ่นไหว้
อาการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเป็นศุภมงคลอย่างประเสริฐแล้ว
สื่อให้เห็นว่าจิตเราพิธีกรรมเราที่ตั้งถึงองค์พญาครุฑและเหล่าพญาปักษาชาติ
ทั้งหลายอันมีฤทธิ์นั้นท่านรับรู้แล้ว
และท่านทั้งหลายจะช่วยเหลือเราอย่างสุดความสามารถโดยตลอด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น